การสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างยูเออีกับอิสราเอลมีขึ้นหลังการเจรจากันแบบลับๆมานาน โดยมีสหรัฐอเมริกา “พี่เบิ้ม” พันธมิตรเบอร์ 1 ของอิสราเอลเป็นตัวกลางผลักดันสุดตัว และสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ยูเออี ชาติมุสลิมนิกายสุหนี่ ตัดสินใจคบกับอิสราเอล เพราะหวาดระแวง “อิหร่าน” นิกายชีอะห์คู่อริ ที่เป็น “ศัตรูร่วม”

ชาติอาหรับอื่นๆ มีปฏิกิริยาต่อการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างยูเออีกับอิสราเอลแตกต่างกันไป มีทั้งคัดค้าน ยินดี สงวนท่าที ขณะที่สหรัฐฯ รีบส่งนายไมค์ ปอมเปโอ รมว.ต่างประเทศไปเยือนตะวันออกกลาง ทั้งอิสราเอล ซูดาน บาห์เรน ยูเออี เพื่อติดตามผลและกระตุ้นให้ชาติอาหรับอื่นๆสถาปนาความสัมพันธ์กับอิสราเอลด้วย
เมื่อ 31 ส.ค. หลังประกาศสถาปนาความสัมพันธ์กันได้ 18 วัน เครื่องบินโบอิ้ง 737-900 เที่ยวบิน “แอลวาย 971” ของสายการบิน “เอลอัล” ของอิสราเอล นำเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ และอิสราเอลไปเยือนยูเออีอย่างเอิกเกริกเพื่อ “ต่อยอด” หาลู่ทางทำธุรกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยวระหว่างกัน ก่อนจะหาลู่ทางร่วมมือกันด้านความมั่นคงต่อไป โดยฝ่ายสหรัฐฯรวมทั้งนายจาเรด คุชเนอร์ ลูกเขยและที่ปรึกษาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนายโรเบิร์ต โอ’ไบรอัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ บ่งชี้ว่าทรัมป์ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก
เที่ยวบิน “แอลวาย 971” ตั้งชื่อตามเลข 971 รหัสโทรศัพท์ระหว่างประเทศของยูเออี นับเป็นเที่ยวบินพาณิชย์เที่ยวแรกในประวัติศาสตร์ระหว่างอิสราเอลกับยูเออี และที่สำคัญ “ซาอุดีอาระเบีย” มหาอำนาจยักษ์ใหญ่ในตะวันออกกลาง ซึ่งแย่งชิงอิทธิพลกับ “อิหร่าน” มายาวนาน ก็อนุญาตให้เที่ยวบินนี้บินผ่านน่านฟ้าของตนได้ บ่งชี้ให้เห็นว่าอย่างน้อยซาอุฯ “ไม่คัดค้าน” ที่ยูเออีไปคบกับอิสราเอล แม้ยังปฏิเสธที่จะทำตามยูเออี
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การที่ยูเออียอมสถาปนาความสัมพันธ์กับอิสราเอล นอกจากเป็นเพราะหวาดระแวง “อิหร่าน” แล้ว ยูเออียังหวังจะได้ประโยชน์ด้านการค้า การลงทุน การธนาคาร การเงิน การบิน การท่องเที่ยวกับอิสราเอลอย่างมากด้วย และก่อนหน้านี้หลายบริษัทของยูเออีและอิสราเอลได้ลงนามสัญญาธุรกิจกันไปแล้ว

ยูเออียังจะได้ประโยชน์ด้านการทหารและความมั่นคงด้วย เช่น อาจได้รับ “ไฟเขียว” ให้ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ล้ำสมัยต่างๆของสหรัฐฯได้ เช่นเครื่องบินรบล่องหน หรือ “สเตลธ์” แบบ “เอฟ-35”
ส่วนอิสราเอลก็จะได้ประโยชน์อย่างมากเช่นกัน นอกเหนือจากการทำธุรกิจภาคต่างๆกับยูเออีแล้ว ยังจะสามารถเปิดเกมรุกทางการทูตเข้าสู่ชาติอาหรับอื่นๆ ให้ยอมรับอิสราเอลเพิ่มขึ้นจากเดิมที่กลุ่มชาติอาหรับมีหลักการร่วมกันคือไม่ยอมรับอิสราเอล จนกว่าจะบรรลุข้อตกลงสันติภาพขั้นสุดท้ายกับ “ปาเลสไตน์” รวมทั้งการตั้งรัฐปาเลสไตน์ โดยมีนครเยรูซาเลมตะวันออกเป็นเมืองหลวง และให้อิสราเอลถอนตัวจากเขตยึดครองในเขตเวสต์แบงค์
ขณะที่สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็จะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้เช่นกัน เพราะสามารถอ้างได้ว่าเป็นผลงานนโยบายต่างประเทศชิ้น “โบแดง” ของตนที่ทำให้ยูเออีคบอิสราเอลได้ และจะนำไปขยายผลดึงคะแนนเสียง โดยเฉพาะจากฐานเสียงชาวยิวผู้ทรงอิทธิพล ก่อนการเลือกตั้งใน 3 พ.ย.นี้ หลังทรัมป์เสนอแผนสันติภาพอิสราเอล-ปาเลสไตน์ และย้ายสถานทูตสหรัฐฯในอิสราเอลจากกรุงเทล อาวีฟ ไปเยรูซาเลมก่อนหน้านี้
ทรัมป์ยังพยายามดึงชาติอาหรับอื่นๆให้ยอมสถาปนาความสัมพันธ์กับอิสราเอลเพิ่มขึ้น รวมทั้งบาห์เรน ซูดาน โอมาน กาตาร์ คูเวต และซาอุฯ แต่ส่วนใหญ่ยังนิ่งเงียบ แม้อาจเป็นไปได้ที่บาห์เรนซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับซาอุฯ อาจรับบทบาทเป็น “กาวใจ” ในการเจรจาระหว่างซาอุฯกับอิสราเอล
ชาติที่ความเป็นไปได้สูงที่จะสถาปนาความสัมพันธ์กับอิสราเอลต่อไปคือ “ซูดาน” เพราะมีหลายปัจจัยชี้ไปในทิศทางนี้ รวมทั้งกรณีที่ พล.อ.อับเดล ฟัตตาห์ อัล-บูร์ฮาน ประธานสภาเปลี่ยนผ่านอธิปไตยของซูดาน ไปพบปะเจรจากับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู แห่งอิสราเอลในยูกันดา เมื่อเดือน ก.พ.ปีนี้
ซูดานซึ่งกำลังเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจอย่างหนัก ต้องการให้สหรัฐฯถอดตนออกจาก “บัญชีดำ” ประเทศที่สนับสนุนการก่อการร้าย และยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่างๆ
ส่วน “ปาเลสไตน์” จับตามองความเป็นไปเรื่องนี้อย่างเจ็บช้ำหวาดระแวง เพราะเห็นว่าถูกยูเออี “ทรยศ” จนโดดเดี่ยวยิ่งขึ้น และความหวังตั้งรัฐปาเลสไตน์อย่างที่ตนเองเรียกร้องต้องการยิ่งห่างไกลออกไป!
บวร โทศรีแก้ว
September 06, 2020 at 05:01AM
https://ift.tt/2DxgzkE
ยูเออียอมคบอิสราเอล ผู้เจ็บช้ำคือปาเลสไตน์ - ไทยรัฐ
https://ift.tt/3cJxo7G
Bagikan Berita Ini
0 Response to "ยูเออียอมคบอิสราเอล ผู้เจ็บช้ำคือปาเลสไตน์ - ไทยรัฐ"
Post a Comment